โดยเฉพาะเด็กเวียดนามรุ่นใหม่เมื่อวานได้ไปทานเฝอที่ร้านอาหารในห้างแห่งหนึ่งก็คุยกับพนักงานเสริฟกันตามปกติเด็กหนุ่มที่มาคุยหน้าตาดี แต่งตัวปอนๆ คุยด้วยภาษาอังกฤษ ภาษาของเด็กคนนี้ถือว่าเก่งใช้ได้ ผมก็เลยถามไปว่าเรียนภาษาอังกฤษจากไหน เรียนอยู่โรงเรียนอินเตอร์หรือเปล่า เค้าบอกไม่ใช่เป็นโรงเรียนท้องถิ่นนี่เองถือว่าทักษะของภาษาอังกฤษเด็กหนุ่มนี้ถือว่าเก่งกว่านักเรียนไทยหลายๆ คนที่ไม่ได้เรียนอินเตอร์ที่พูดนี่อยากให้เด็กไทยสนใจภาษาเยอะๆ ไม่เช่นนั้นไทยอาจจะไม่ทันเวียดนามหากนักเรียนไทยไม่สนใจภาษาอย่างจริงจัง
ชาวเวียดนามสมัยนี้นิยมส่งบุตรหลานไปศึกษาต่อต่างประเทศ เช่น อเมริกา และ อังกฤษ และดูจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับชาวเวียดนามสมัยใหม่ โดยส่วนใหญ่แล้วเวลาไปต่างประเทศแล้วมักจะหาหนทางอยู่ยาวๆ หรือให้นานที่สุดก่อนที่จะกลับมาสู่ บ้านที่เวียดนาม แต่ถ้าเป็นไปได้ชาวเวียดนามส่วนใหญ่ก็อยากจะย้ายออกไปเลยจากการคุยกับชาวเวียดนามที่คุยภาษาอังกฤษได้
ICEF Asia หนทางสู่ความสำเร็จ
งาน ICEF ก็ยังมาจัดกันในโรงแรมใจกลางโฮจิมินห์ซิตี้ อย่างยิ่งใหญ่ทำให้สรุปได้ว่าโลกสมัยนี้ช่างแคบลงมามากมีสถาบันมาจากหลากหลายทั่วโลก
งาน ICEF ที่ทีมงานของพี่ดรีมไปร่วมมาครั้งนี้มีสถาบันการศึกษาจากทั่วโลกเดินทางมารวมตัวกันทั้งจาก อเมริกา อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมัน และประเทศในแถบเอเเชีย เช่น มาเลย์ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และ จีน
ดังที่ทีมพี่ดรีมได้เกริ่นไปข้างต้น และที่น่าสังเกตอีกอย่างก็ คือ เวียดนามเติบโตเร็วมากทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมดูได้จากสภาพบ้านเมืองทั่วไปซึ่งเจริญขึ้นเร็วมาก มอเตอร์ไซค์ที่กว่าเยอะเต็มถนน ปัจจุบันถือว่ามีจำนวนลดลงและมีรถยนต์เข้ามาแทนที่ แต่รถก็ยังติด และ บีบแตรเสียงดังเหมือนเดิม เวลาเดินถนนสะดุ้งทุกๆ ครั้งเวลาเดินริมถนนไปๆมาๆ กลับมาที่เมืองไทย ปัจจุบันคุณพ่อคุณแม่ไทยเรากลับมานิยมส่งลูกหลานไปเรียนภาษาอังกฤษ อายุน้อยลงเรื่อยๆเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางการค้าทำงานที่บ้าน หรือ /และ การออกไปทำงานในอนาคต ในงาน ICEF Asia ครั้งนี้มีโอกาสฟัง update และหลายหัวข้อ
มีหัวข้อหนึ่งที่เห็นว่าน่าสนใจมากและอยากนำมาเล่าก็คือ การไปศึกษาต่อที่แคนาดา เนื่องจากตอนนี้แคนาดามาแรงด้วยโปรแกรมที่เรียกกันว่า CO-OP หรือ โครงการเรียนและทำงานได้ระหว่างเรียน รัฐบาลแคนาดาได้เล็งเห็นความสำเร็จของประเทศออสเตรเลียใน 10 ปีที่ผ่านมาในการใช้ช่องทางทางการศึกษาเพื่อคัดเลือกผู้อพยพที่มีคุณภาพสูงที่เรียนจบจากออสเตรเลียนั้น โดยออกใบอนุญาตให้อาศัยอยู่ทำงานและในที่สุดอยู่อย่างถาวรต่อจนได้สัญชาติออสเตรเลียไปทำให้มีนักศึกษาจากทั่วโลกเข้าไปเรียนและทำงานกันในออสเตรเลียมากมายจนแทบจะยกให้เป็นอันดับ 1 ชิงตำแหน่งอเมริกาและอังกฤษจากตลาดไทยในหลายปีที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้
เพียงเสียดายที่ออสเตรเลียไม่ได้มีการวางแผนและควบคุมโครงการที่ดี จึงทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับเรื่องโครงการเอกสารการเดินทาง โดยเฉพาะหลังจากสถานการณ์โควิดจนเป็นผลให้ตลาดการศึกษาของออสเตรเลียได้รับผลกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงพอควรเห็นได้จากสถานะการณ์ขาดแคลนแรงงานช่วงโควิดที่ผ่านมา
การเปิดโอกาสอนุมัติให้นักศึกษาที่เรียนจบ 2 ปีในแคนาดา สมัครเป็นผู้ถือถิ่นฐานถาวรทำงานในแคนาดาได้สูงสุด 2-3 ปีส่วน แคนาดา ทำการบ้านมาดีเพราะได้นำจุดบกพร่องของออสเตรเลียมาแก้ไข และเพิ่มความระมัดระวังในการวางแผนไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอย่างที่เกิดในประเทศออสเตรเลียได้โครงการของประเทศแคนาดาจึงได้รับความนิยมจากนักเรียนนักศึกษาจากทั่วโลกเป็นอย่างมากในปัจจุบัน
ส่วนสิทธิ์การทำงาน 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์สำหรับนักเรียนต่างชาติในระหว่างช่วงเปิดเรียน และทำงานได้เต็มเวลาในระหว่างช่วงปิดเทอมนั้น แคนาดาก็อำนวยให้เหมือนๆกัน ดังนั้นน้องๆที่ประสบกับความผิดหวังในการเรียนจบ 2 ปีแล้ว ไม่สามารถขออยู่อย่างถาวรในประเทศออสเตรเลียได้จะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ไปแคนาดาต้องมี statement และเรียนภาษาอย่างเดียวทำงานไม่ได้หากเปลี่ยนใจอยากไปอยู่แคนาดาแทนก็ลองติดต่อสอบถามอ่านข้อมูลลองดู เพราะจากการเรียนรู้ข้อมูลทีมงานคิดว่าอาจเป็นช่องทางที่ดีที่ในการไปหาประสบการณ์หลังจบการศึกษาปริญญาตรีใหม่ไม่กี่ปีแนะนำไม่ควรเกิน 4-5 ปี เผื่อจะเห็นช่องทางใหม่ในชีวิต เพราะไม่ว่าจะเรียนที่ประเทศใดในโลกก็ใช้เงินมากพอๆกันทั้งนั้น
อีกเรื่องหนึ่งที่อยากเล่าสู่กันฟังก็คือตอนนี้เด็กไทยเราหันไปเรียนนิวซีแลนด์ กับ ออสเตรเลีย กันเสียเป็นส่วนใหญ่ อาจจะด้วยเหตุผลเนื่องจากเรียนภาษาอังกฤษก็สามารถทำงานได้แต่เอกสารนักเรียนไม่ง่ายเท่าไหร่ หากน้องๆไม่พร้อม หรือ เตรียมข้อมูลไม่แน่นหนาพอก็อาจถูกปฏิเสธได้เหมือนกัน
ในปีนี้ 2023 เอกสารนักเรียนที่จะเข้าออสเตรเลียเกิดการเข้มงวดขึ้นมาก เอกสารนักเรียนไปประเทศอังกฤษกลับผ่อนตัวลงมากผ่านสัมภาษณ์กันอย่างง่ายๆ โดยดูจากนักเรียนที่ทางเอเจนท์เราเองส่งไปประเทศอังกฤษก็หลายสิบรายยิ่งเห็นจากการจัดงานที่ผ่านมาบูทสถาบันจากนิวซีแลนด์ แคนาดา หรือ อังกฤษ แน่นจนคิวยาว จึงทำให้สรุปได้อย่างมั่นใจว่าการศึกษาต่อต่างประเทศในโลกปัจจุบันนั้นไร้ขอบเขตจริงๆ และคนไทยเราก็ไวมาก ประเทศไหนไปง่ายในช่วงไหนก็แห่ตามกันไปที่รู้ๆช่วงนี้การศึกษาต่อในซีกโลกเหนือกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง หลังจากเกิดเหตุโควิดชะลอการเดินทางของนักเรียนจำนวนเป็นร้อย
คำถามหนึ่งที่น้องๆถามกันบ่อยก็คือ ไปเรียนอังกฤษ อเมริกา หรือที่แคนาดานั้น ทำงานได้ไหม ก็ขอตอบว่าที่อเมริกานักเรียนสามารถทำงานภายในวิทยาเขต (on-campus) ได้ที่เมื่องลงทะเบียนเรียนอยู่ในระดับปริญญาตรี - โท หรือ วิชาชีพ เท่านั้นและเมื่อเรียนจบแล้วทำงานนอกวิทยาเขตได้ผู้จบสามารถขออยู่อเมริกาต่อด้วยเอกสารการเดินทางเป็นเวลา 1 ปี เพื่อทำงานในสาขาที่ตนเรียนมาได้ และ หากมีนายจ้างสปอนเซอร์ก็สามารถขอเอกสารการเดินทางได้ตั้งแต่ 3 ปี
ส่วนที่ประเทศอังกฤษ ช่วงเรียนทำงานได้ 20 ชั่วโมงเช่นกัน หากลงเรียนหลักสูตรปริญญาตรี หรือ ปริญญาโท ส่วนช่วงปิดเทอม ทำได้ 40 ชั่วโมง และ หลังจบหลักสูตรปริญญา สามารถขอเอกสารการเดินทางอยู่ทำงานในประเทศอังกฤษ 2-3 ปี จุดเด่นของอังกฤษก็คือ โปรแกรมปริญญาโทอาทิ MBA ป.โท สาขาต่างๆ เรียนเพียง 1 ปีก็จบ นักเรียนหลายคนจึงอยู่ทำงานต่ออีก 1 ปีหลังจบ
เรียกว่า “การศึกษาต่อต่างประเทศ” นั้นแต่ละประเทศก็มีจุดอ่อนจุดแข็งของตนเอง แล้วแต่น้องๆสนใจอยากไปเรียนไปอยู่ไปทำงานที่ประเทศไหนนั่นเอง ทั้งนี้ทีมพี่ดรีมจึงอยากแนะนำให้น้องๆ ลองอ่านข้อมูลเบื้องต้นก่อนว่าแต่ละประเทศเป็นอย่างไร แล้วเราอยากไปที่ไหนก็มุ่งไปทางนั้นด้วยการศึกษาที่ไร้ขอบเขตของโลกปัจจุบันได้ขยายฐานไปทางการศึกษาต่อที่ต่างประเทศแล้ว หากน้องๆท่านไหนสนใจจะไปแสวงหาความรู้ประสบการณ์และโอกาสในดินแดนถิ่นใหม่ทีมดรีมฯ ยินดีช่วยให้ความฝันของน้องๆเป็นจริง
ปีนี้ทีมพี่ดรีมฯ ได้เซ็นสัญญาร่วมมือกับมหาวิทยาลัย โรงเรียนไว้หลายแห่งเพื่อให้น้องๆลูกหลานนักเรียนไทยมีโอกาสไปเรียนภาษา และเรียนระดับปริญญาหรือสาขาอื่นๆกัน ดังนั้นหากน้องๆสนใจจะเดินทางสายนี้และอยากไปเรียนภาษาขนานแท้ที่เมืองนอกกันก็ติอต่อมาเลยนะ การเดินทางไปเวียดนามของทีมงานครั้งนี้ได้ทั้งประสบการณ์ ความรู้ และ ใหม่ๆ มาฝากให้ผู้ปกครองไทยเรามากมายเอาไว้จะค่อยๆนำมา คุยกันอีกนี้รวมทั้งเรื่องเกี่ยวกับการเรียนต่อในประเทศอื่นๆ และเรื่องเอกสารการเดินทางของประเทศนั้นๆมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นความรู้และทางเลือกใหม่สำหรับท่านผู้อ่าน สาระสนุกสนานและเป็นประโยชน์ทั้งนั้น